top of page

Post

ออฟฟิศซินโดรม... โรคยอดนิยมชีวิตคนทำงาน


การทำงานในยุคโควิด-19 แพร่ระบาด นำไปสู่โรคยอดนิยมของสังคมไทยในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบให้เหล่าคนทำงานออฟฟิศต้องปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานแบบ Work From Home เป็นส่วนใหญ่ วันนี้แอดมินจึงอยากมาบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับโรคออฟฟิศซินโดรมให้กับเพื่อนๆ ได้รู้จักและระวังกันมากขึ้น 🥰 คนทำงานออฟฟิศต่างมีพฤติกรรมในการนั่งทำงานที่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้โดยไม่รู้ตัว เช่น การนั่งหลังค่อม นั่งทำงานหน้าจอคอมนาน ๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะ เก้าอี้ สูงเกินไป จนส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดทางร่างกาย ซึ่งสิ่งที่เราทำทุกวันอยู่นั้นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกาย และอาจเกิดโรคที่เรียกว่า "ออฟฟิศซินโดรม"

ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คืออะไร

ออฟฟิศซินโดรมเป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial pain syndrome) มักพบได้บ่อยในพนักงานออฟฟิศ เพราะเป็นการทำงานที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือทำงานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมง/วัน หรืออยู่ในท่านั่งการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องกันนาน ๆ เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป และไม่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ การนั่ง การยืนหลังค่อม ไหล่ห่อ หรือก้มคอมากเกินไป เป็นต้น ซึ่งอาจปวดหนักขึ้นจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบการย่อยอาหาร ระบบนัยน์ตา และโรคเกี่ยวกับการมองเห็นได้อีกด้วย

สาเหตุของการเกิดออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรมเกิดจากลักษณะการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำ ๆ เป็นเวลานานหลายชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้โรคออฟฟิศซินโดรมยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้อีก เช่น

  • สภาพแวดล้อม อุปกรณ์ในการทำงานไม่เหมาะสมกับโครงสร้างตามหลักสรีรศาสตร์ของร่างกาย เช่น โต๊ะ หรือเก้าอี้ที่ใช้ทำงานสูงหรือต่ำจนเกินไป เป็นต้น

  • สภาพร่างกายและจิตใจ เช่น ความเครียดที่เกิดจากการทำงาน การที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ การได้รับสารอาหารไม่ครบ การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่ออาการเจ็บป่วยได้ด้วย


อาการของออฟฟิศซินโดรม

  • อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ จะมีลักษณะอาการปวดล้า เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น บ่า ไหล่ คอ สะบัก มักมีอาการปวดเป็นบริเวณกว้าง อาจมีอาการปวดร้าวไปบริเวณใกล้เคียงร่วมด้วย หรือมีอาการชาลงมาที่แขน โดยที่ความรุนแรงของอาการจะสามารถเป็นได้ตั้งแต่ปวดเล็กน้อยไปจนถึงอาการปวดขั้นรุนแรงและรู้สึกทรมาน

  • อาการทางระบบประสาท เช่น อาการชาตามมือและแขน หากมีการกดทับเส้นประสาทนานจนเกินไปจะมีอาการอ่อนแรงที่อวัยวะนั้นร่วมด้วย

  • อาการของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น วูบ เหน็บชา เย็น ขนลุก และมีเหงื่อออกตามบริเวณที่ปวดร้าว หากเป็นบริเวณคออาจมีอาการมึนงง ตาพร่ามัว หูอื้อ


ภาวะแทรกซ้อนของออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรมส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนของโรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อตามมาได้ เช่น

  • เอ็นข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (carpal tunnel syndrome) มีอาการเริ่มต้นคือชาตามนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยในผู้หญิงวัยทำงาน โดยอาการชาจะค่อย ๆ เป็นมากและบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ โดยส่วนมากมักจะมีอาการชาในตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน และจะชาเกือบตลอดเวลาในเวลาต่อมา

  • นิ้วล็อค (trigger finger) เป็นอาการที่เกิดจากการอักเสบของปลอกเอ็นนิ้วมือ ส่งผลให้ไม่สามารถยืด หรือหดนิ้วได้ตามปกติ โดยนิ้วที่พบว่ามักเกิดอาการดังกล่าวคือ นิ้วโป้ง นิ้วกลาง และนิ้วนาง หรืออาจจะเกิดขึ้นได้ทุกนิ้ว และอาจเกิดขึ้นได้ในนิ้วมือทั้งสองข้างอีกด้วย

  • โรคเอ็นอักเสบที่ข้อมือ (De quervain’s Tenosynovitis) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นและเส้นเอ็นบริเวณข้อมือทางฝั่งนิ้วโป้ง ทำให้เกิดการกดทับของเส้นเอ็นภายใน โดยส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 8 เท่า

การรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม

  • รับประทานยา เพื่อช่วยบรรเทาไปตามอาการ เช่น ยาแก้อักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น หากอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อทำกายภาพบำบัดในการรักษาต่อไป

  • การทำกายภาพบำบัด เป็นการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมที่เกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูก อีกทั้งยังเป็นการประเมินโครงสร้างของร่างกาย และเป็นการปรับร่างกายให้เกิดความสมดุล รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคอื่น ๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ในระยะยาวอีกด้วย

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เริ่มจากการนั่งให้ถูกวิธีโดยการนั่งตัวตรง พยายามอย่ากดคอลง ปรับระดับเก้าอี้ให้พอดีกับโต๊ะ และควรพักสายตาหลังจากทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน เช่น การมองออกไปไกล ๆ รวมถึงการพักออกไปข้างนอกบ้างเป็นต้น

การป้องกันการเกิดออฟฟิศซินโดรม

  • ออกกำลังกาย เพื่อยืดกล้ามเนื้อให้เกิดความยืดหยุ่น และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

  • ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา หรือปรับระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ให้สามารถนั่งทำงานในท่าที่สบาย เป็นต้น >> 😄 แอดมินจึงอยากแนะนำที่วางคีย์บอร์ดแบบหนีบโต๊ะ ที่ถูกออกแบบให้ถูกต้องตามหลักสรีศาสตร์ของร่างกายเรา ซึ่งจะช่วยทำให้นั่งทำงานได้สบายขึ้น และลดการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี👍


  • พักการใช้งานกล้ามเนื้อ เช่น ในระหว่างทำงานควรมีการเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างน้อยทุก ๆ 1 ชั่วโมง

  • เปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ยึดหลัก “10-20-60” - พักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุก 10 นาที - ลุกออกไปเดินเล่นหรือเปลี่ยนอิริยาบถเมื่อทำงานครบทุก ๆ 20 นาที - เมื่อครบ 60 นาที ให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและแขน โดยการบริหารต้นคอ สะบัก ไหล่ แขนมือ เอวหลัง และขา

โรคออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการนั่งทำงาน และไม่ควรปล่อยปละละเลยหากเกิดสัญญาณเตือนของอาการ เพราะการดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้


แล้วพบกันใหม่ในบทความถัดไปนะคะ 🥰

แอดมิน G ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเพชรเวช

bottom of page